ศาลสั่ง 2 จำเลย ชดใช้ชานมไข่มุกเจ้าดัง “เสือพ่นไฟ” 10 ล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์ของคดีละเมิดเครื่องหมายการค้า
วันนี้ (23 ธันวาคม) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง นัดหมายฟังคำพิพากษาคดีที่ น.ส.นันทนัช เอื้อศรีสมบัติพัสถาน และบริษัท ร่ำรวยสบายสบาย จำกัด ผู้ครอบครองแบรนด์เฉลียงมมุก “Fire Tiger : เสือพ่นไฟ” โจทก์ร่วมที่ 1 และ 2 ร่วมฟ้อง บุคคลปกติรวม 2 ราย ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องดื่มเฉลียงมมุก “หมีพ่นไฟ” และ “The Fire Bear” เป็นเชลยในฐานข้อผิดพลาดฝ่าฝืนตราตาม พ.ร.บ.ตรา พ.ศ. 2534 พร้อมขอศาลให้สั่งห้ามไม่ให้เชลยทำการฝ่าฝืนสิทธิในตราและการบริการของโจทก์ต่อไป ให้เลิกการใช้และขายตราที่เหมือนคล้ายกับโจทก์
ทั้งนี้ นายสืบสิริ ทวีผล ทนายความข้างโจทก์ กล่าวว่า คดีดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นศาลตัดสินคดีว่า เชลยมีความผิดฝ่าฝืน ฐานลวงขาย โดยเชลยมีการใช้ตรา ลักษณะการตกแต่งร้านขายของ และกรรมวิธีการเสิร์ฟเครื่องดื่มผ่านปากสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนคล้ายกับธุรกิจของโจทก์ ศาลจึงมีความเห็นว่า ความประพฤติปฏิบัติของเชลยทั้งคู่มีความผิดฐานลวงขาย ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท ซึ่งถือเป็นค่าเสียหายในคดีตราที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองไทย
ทนายความสืบสิริ ยังกล่าวอีกด้วยว่า จากที่ศาลพินิจพิเคราะห์ มีความเห็นว่าเชลยใช้คำว่า “หมีพ่นไฟ” และ “The Fire Bear” เป็นชื่อร้านขายของ สินค้าและบริการ ธุรกิจการค้า และเป็นชื่อเฉลียงมมุก รวมถึงการใช้ประติมากรรมหัวหมีพ่นไฟ ที่มีลักษณะอ้าปากเป็นช่องส่งสินค้า เฉลียงมมุก ให้แก่ลูกค้านั้น ย่อมทำให้คนทั่วๆไปเข้าใจว่า เป็นร้านค้าที่มีเจ้าของเดียวกัน หรือสินค้ามาจากแหล่งเดียวกัน ถือเป็นการลวงให้ประชากรเชื่อว่า สินค้าหรือการค้าของเชลย เป็นของโจทก์หรือเกี่ยวโยงกับโจทก์ จึงถือเป็นการทำฝ่าฝืน ฐานลวงขาย
ส่วนการกำหนดค่าเสียหายนั้น ศาลให้เชลยทั้ง 2 ชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาทพร้อมดอกโดยชอบด้วยกฎหมายนับแต่วันฟ้อง รวมถึงชำระค่าเสียหาย เดือนละ 100,000 บาท นับแต่วันฟ้อง ตราบจนกระทั่งเชลยทั้งคู่จะเลิกความประพฤติปฏิบัติฝ่าฝืนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งทางโจทก์ยังได้ยื่นฟ้องเชลยเป็นคดีความอาญา ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการไตร่ตรองของศาล โดยคดีทางอาญาดำเนินงานฟ้องในข้อกล่าวหาเดียวกัน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนของการไตร่ตรอง
ทางด้าน น.ส.นันทนัช กล่าวว่า ต้องการที่จะให้เป็นกรณีแบบอย่างสำหรับคนที่ทำธุรกิจว่าการได้รับแรงจูงใจและการก๊อปปี้เลียนแบบนั้นแตกต่าง ต้องการที่จะให้ทำธุรกิจโดยการให้เกียรติกัน ไม่ใช่ลอกเลียนแบบโดยจงใจหรือตั้งใจราวกรณีนี้ ไม่งั้นจะมีผลตามกฎหมายได้